ภาระกิจเดินเร่งรีบ เป็นอีกหนึ่งภาระกิจที่เราได้รับหลังจากได้รับการฝึกทหารใหม่จนเสร็จสิ้น พร้อมทั้งแยกกันขึ้นกองร้อย โดยผมได้รับมอบหมายให้เป็นส่วนหนึ่งในทีมเพื่อแข่งขันกันแต่ละกองพัน โดยสำหรับกองพันผมประกอบด้วยทหารทั้ง ผู้กอง ผู้หมวด นายสิบ และพลทหารรวมเกือบสองร้อยนาย โดยภาระกิจที่เราได้รับ คือ ต้องเดินเท้าเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตร พร้อมสัมภาระคนละ 10กิโลกรัมเกินได้แต่ห้ามขาด พร้อมทั้งอาวุธคู่กาย ซึ่งอาวุธคู่กายผมคือ ปืน M16A2 พร้อมติดเครื่องยิงลูกระเบิด M203 ซึ่งหนักรวมกันเกือบ 5 กิโล หลังจากที่เราวิ่งถึงเส้นชัยแล้ว ก็ต้องเข้ารับการทดสอบการยิงปืนโดยใช้อาวุธปืนคู่กายของตนเองทันที โดยไม่มีเวลาให้พัก การยิงปืนจะยิงโดยการวิ่งเข้าไประยะ 200 เมตร แล้วจึงยิงปืนให้เข้าเป้า หลังจากนั้นให้วิ่งไปในระยะ 100 เมตร ให้เข้าเป้า ก็เป็นอันเสร็จภารกิจ
ในทุกเช้าเวลา 05.30 เราต้องตื่นมาซ้อมเดินเร่งรีบ โดยการวิ่งรอบกองพันวันละ 6 - 8 รอบ นายสิบนายหนึ่งบอกว่าไม่จำเป็นไม่ควรสวมกางเกงในเพราะว่ามันจะบาดต้นขา ซึ่งผมก็ได้โทรศัพท์ขอให้แฟนส่งกางเกงเสตย์ พร้อมทั้งถุงเท้าคู่หนาๆ มาให้เพื่อป้องกันรองเท้ากัดจากการเดิน - วิ่ง เป็นระยะทางหลายกิโล การวิ่งรอบกองพันตอนเช้า 7 -8 รอบ มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากเพราะจะไม่มีการเดิน ไม่มีการหลุดแถว หากทหารคนไหนหลุดแถวก็จะถูกสั่งให้วิ่งขึ้นไปอยู่หัวแถวทันที ผมเป็นคนหนึ่งที่มั่นใจในพละกำลังร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังใจของตนเอง ที่มั่นใจว่าไม่แพ้ใครแน่นอน จากการที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าทหารใหม่ ทำให้ผมต้องได้รับการลงโทษมากกว่าลูกน้องคนอื่น ยังผลให้ร่างกายผมได้รับการฝึกฝนมากกว่าคนอื่นเช่นกัน เราทำการซ้อมเดินเร่งรีบอย่างนี้เกือบสองอาทิตย์ จนถึงวันที่เราซ้อมใหญ่โดยการวิ่งตามเส้นทางจริง
เราเริ่มมาซ้อมใหญ่กันเวลาตีสี่กว่า ๆ หลังจากรายงานตัวเสร็จเราก็เริ่มกันเลย การเดินเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ พอผู้กองเป่านกหวีดหนึ่งครั้งเท่านั้นแหละ เราก็เปลี่ยนฝีเท้าจากเดินมาเป็นวิ่งแทน ยังไม่มันจะถึง 100 เมตร ขาก็เริ่มจะชาขึ้นมา แต่เมื่อสิ้นเสียงเป่านกหวีดของผู้กองอีกครั้ง พวกเราก็กลับมาเดิน สรุปว่าวันซ้อมใหญ่นั้นเราทุกคนพากันกรอบหมด กว่าจะถึง 15 กิโลเมตร ปลอบใจตัวเองไม่รู้กี่ครั้ง น้ำมีให้ดื่มเพียงคนละ 2 กระติกประจำตัวเท่านั้น เพื่อๆ ทหารหลายคนที่ดื่มน้ำตนเองจนหมด ต้องมาขอดื่มน้ำจากกระติกเพื่อนแทน หลังจากซ้อมใหญ่เสร็จพวกเราก็ได้รับการพัก 2 วัน ดีอย่างตรงทางกองร้อยมีนโยบายให้พวกแข่งเดินเร่งรีบ ไม่ต้องขึ้นเวรใดๆ ทั้งนั้น อีกทั้งยังห้ามเล่นกีฬาที่กระทบกระเทือนต่อข้อเท้ามาอย่างเช่น ฟุตบอล
ถึงวันนี้ วันที่เราต้องแข่งแล้วสินะหลังจากที่ฝึกซ้อมมานาน เราเริ่มเดินทางตั้งแต่ตีสี่ มาถึงสนามจุดปล่อยตัวก็ประมาณตตีสี่ครึ่ง หลังจากเช็ครายชื่อเสร็จเราก็มานวดตัวกันเพื่อเตรียมร่ายกายในการแข่งขัน ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งก็บอกว่า "ทุกคนดูบนท้องฟ้าสิ" ที่เรามองเห็นคือ พระจันทร์ทรงกรด ซึ่งผู้กองก็บอกว่า พระจันทร์อวยชัยให้พวกเราแล้ว "เออให้มันจริงเถอะ" ผมคิด
ตีห้าตรงถึงเวลาปล่อยตัว เราก็เริ่มออกตัวกันตามที่ฝึกมา ผู้กองก็ทำหน้าที่เป่านกหวีดให้สัญญานในการออกเดิน หรือว่าออกวิ่ง ถึงเราจะฝึกมาเยอะแต่จากความหนักของสำภาระก็ส่งผลให้พวกเราเหนื่อยกันไปตาม ๆ กัน ลิ้นก็เริ่มห้อย คอก็เริ่มแห้ง แรงก็เริ่มหมด แต่ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้นมา จังหวะของดนตรีเร่งเร้ายังกะอยู่ในเธค ทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นสตรีสาว 4 นาง ยืนอยู่บนรถกระบะที่ถูกแต่งจนมีลำโพงตามท้ายรถ สี่สาวนางนั้นเต้นตามจังหวะเสียงเพลงอย่าเมามัน เริ่งร่าท่ามกลางเสียงดนตรี ทหารนายหนึ่งร้องขึ้นมาว่า "โคโยตี้ โคโยตี้" ทุกสายตาของทหารต่างจ้องจดไปที่เหล่าโคโยตี้นั้น ทหารทุกนายจากที่หมดเรี่ยวแรงกัน บัดนี้กลับพากันมีกำลังวังชาอย่างกับคนละคน ต่างพากันวิ่งออกแถวเพื่อที่จะไปจับ ไปสัมผัส โตโยตี้ทั้งสี่ เมื่อผู้กองเห็นทหารเริ่มมีแรงฮึดกันมากขึ้นก็บอกให้รถกระบะคันนั้นเดินหน้า เพื่อให้ทหารวิ่งไล่ตาม สุดยอด ! ทหารพากันวิ่งไล่รถกระบะอย่างกับเสือโหยที่กำลังวิ่งไล่ตระครุบกวางน้อย ทหารนายสิบคนหนึ่งท่าทางจะไม่มีแรงเหลือทั้งการหายใจดูลักษณะลำบาก ผมจึงอาสารับฝากปืนจากนายสิบคนนั้นไว้อีกหนึ่งกระบอก ซึ่งเป็นปืนทาโวร์ หนักประมาณเกือบสี่กิโล เดินไปได้ซักพัก อ้าว...หายไปไหน สุดท้ายผมต้องได้จัดการถือปืนคนเดียวสองกระบอก เวรกำตู แต่ก็ยังดีที่มีน้องทหารคนหนึ่งซึ่งสนิทกับผมมาช่วยเปลี่ยนถือปืนเจ้ากรรมกระบอกนั้น แต่เดินไปอีกไม่นานซึ่งตอนนั้นกำลังก็อยู่ตัว สามารถเดิน ไปได้เรื่อย ๆโดยไม่เหนื่อยมาก ก็เริ่มมีคนหลุดแถว คือไม่มีแรง เราคนที่อยู่ด้านหน้าก็ต้องไปช่วยคนที่จะหลุดแถวนั้น ผมจึงได้อาสาและวิ่งลงมาที่ปลายแถวเห็นทหารรุ่นพี่คนหนึ่ง ร่างกายกำยำกว่าผมมาก แต่สีหน้านี่ชัดเจนเลย มันจะตายแล้ว ผมจึงอาสาที่จะถือปืนของพี่แกให้ แต่กรรมการที่วิ่งอยู่ข้างๆ บอกให้ได้แค่เปลี่ยนปืนกัน แต่ดูปืนที่พี่แกถือสิ แม่จ้าวมันคือปืนกล มิน่า..... หนักเกือบ 12 กิโลเลยนะนั่น เอาว่ะ แบกก็แบก จนในที่สุดเราก็ถึงเส้นชัย เท้าทั้งสองมึนชาไปหมด หัวเข่าอ่อนเปลี้ย ทหารหลายคนอ้วกแตกอ้วกแตนกันไป ยังไม่ทันได้พักเราก็ต้องไปยิงปืนกันต่อ ได้รับซองกระสุนคนละ 2 ซองสำหรับยิงระยะ 200 เมตรและระยะ 100 เมตร ซึ่งเราก็สามารถยิงเข้าเป้าถึง 81 % เลยทีเดียว ระหว่างยิงระยะ 100 เมตร ทหารทั้งว่าผู้หมวด หรือ นายสิบ ต่างพากันตะคริวกินกับเป็นแถบ หลังแข่งเสร็จก็เป็นเวลาประมาณเกือบ 10 โมงเช้า ผู้กองก็ประกาศให้ทหารทุกนายที่แข่งขันเดินเร่งรีบครั้งนี้ สามารถลากลับบ้านได้วันนี้เลย โดยให้ลาคนละ 7 วัน
สร้างเสี่ยงเฮลั่นของเหล่าทหารหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมานาน กลับมาถึงกองร้อยเราก็พากันเก็บเสื้อผ้า รับใบลากลับบ้านเลย ถึงจะเหนื่อย.....แต่ก็ภาคภูมิใจ......ที่ได้ทำเพื่องหน่วยต้นสังกัด สรุปการแข่งขันวันนั้นทางเราได้อับดับที่ 2 จากการแข่งขันกัน 14 กองพัน เราแพ้ที่ 1 จากการยิงปืนไป ไม่ถึง 1% จากปีเมื่อกี้ที่เราได้ที่สุดท้าย....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น