วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

เดินเร่งรีบ...หนึ่งภาระกิจลูกผู้ชาย

            ภาระกิจเดินเร่งรีบ  เป็นอีกหนึ่งภาระกิจที่เราได้รับหลังจากได้รับการฝึกทหารใหม่จนเสร็จสิ้น  พร้อมทั้งแยกกันขึ้นกองร้อย  โดยผมได้รับมอบหมายให้เป็นส่วนหนึ่งในทีมเพื่อแข่งขันกันแต่ละกองพัน  โดยสำหรับกองพันผมประกอบด้วยทหารทั้ง ผู้กอง  ผู้หมวด  นายสิบ  และพลทหารรวมเกือบสองร้อยนาย โดยภาระกิจที่เราได้รับ คือ ต้องเดินเท้าเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตร พร้อมสัมภาระคนละ 10กิโลกรัมเกินได้แต่ห้ามขาด  พร้อมทั้งอาวุธคู่กาย  ซึ่งอาวุธคู่กายผมคือ ปืน M16A2 พร้อมติดเครื่องยิงลูกระเบิด M203 ซึ่งหนักรวมกันเกือบ 5 กิโล  หลังจากที่เราวิ่งถึงเส้นชัยแล้ว  ก็ต้องเข้ารับการทดสอบการยิงปืนโดยใช้อาวุธปืนคู่กายของตนเองทันที  โดยไม่มีเวลาให้พัก  การยิงปืนจะยิงโดยการวิ่งเข้าไประยะ 200 เมตร  แล้วจึงยิงปืนให้เข้าเป้า  หลังจากนั้นให้วิ่งไปในระยะ  100 เมตร ให้เข้าเป้า ก็เป็นอันเสร็จภารกิจ             
             ในทุกเช้าเวลา 05.30 เราต้องตื่นมาซ้อมเดินเร่งรีบ  โดยการวิ่งรอบกองพันวันละ 6 - 8 รอบ นายสิบนายหนึ่งบอกว่าไม่จำเป็นไม่ควรสวมกางเกงในเพราะว่ามันจะบาดต้นขา  ซึ่งผมก็ได้โทรศัพท์ขอให้แฟนส่งกางเกงเสตย์ พร้อมทั้งถุงเท้าคู่หนาๆ มาให้เพื่อป้องกันรองเท้ากัดจากการเดิน - วิ่ง เป็นระยะทางหลายกิโล การวิ่งรอบกองพันตอนเช้า 7 -8 รอบ มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากเพราะจะไม่มีการเดิน  ไม่มีการหลุดแถว  หากทหารคนไหนหลุดแถวก็จะถูกสั่งให้วิ่งขึ้นไปอยู่หัวแถวทันที  ผมเป็นคนหนึ่งที่มั่นใจในพละกำลังร่างกาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังใจของตนเอง ที่มั่นใจว่าไม่แพ้ใครแน่นอน  จากการที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าทหารใหม่ ทำให้ผมต้องได้รับการลงโทษมากกว่าลูกน้องคนอื่น  ยังผลให้ร่างกายผมได้รับการฝึกฝนมากกว่าคนอื่นเช่นกัน  เราทำการซ้อมเดินเร่งรีบอย่างนี้เกือบสองอาทิตย์  จนถึงวันที่เราซ้อมใหญ่โดยการวิ่งตามเส้นทางจริง
              เราเริ่มมาซ้อมใหญ่กันเวลาตีสี่กว่า ๆ หลังจากรายงานตัวเสร็จเราก็เริ่มกันเลย การเดินเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ พอผู้กองเป่านกหวีดหนึ่งครั้งเท่านั้นแหละ  เราก็เปลี่ยนฝีเท้าจากเดินมาเป็นวิ่งแทน  ยังไม่มันจะถึง 100 เมตร ขาก็เริ่มจะชาขึ้นมา แต่เมื่อสิ้นเสียงเป่านกหวีดของผู้กองอีกครั้ง พวกเราก็กลับมาเดิน  สรุปว่าวันซ้อมใหญ่นั้นเราทุกคนพากันกรอบหมด  กว่าจะถึง 15 กิโลเมตร  ปลอบใจตัวเองไม่รู้กี่ครั้ง  น้ำมีให้ดื่มเพียงคนละ 2 กระติกประจำตัวเท่านั้น  เพื่อๆ ทหารหลายคนที่ดื่มน้ำตนเองจนหมด ต้องมาขอดื่มน้ำจากกระติกเพื่อนแทน  หลังจากซ้อมใหญ่เสร็จพวกเราก็ได้รับการพัก 2 วัน  ดีอย่างตรงทางกองร้อยมีนโยบายให้พวกแข่งเดินเร่งรีบ ไม่ต้องขึ้นเวรใดๆ ทั้งนั้น  อีกทั้งยังห้ามเล่นกีฬาที่กระทบกระเทือนต่อข้อเท้ามาอย่างเช่น ฟุตบอล
               ถึงวันนี้  วันที่เราต้องแข่งแล้วสินะหลังจากที่ฝึกซ้อมมานาน  เราเริ่มเดินทางตั้งแต่ตีสี่  มาถึงสนามจุดปล่อยตัวก็ประมาณตตีสี่ครึ่ง  หลังจากเช็ครายชื่อเสร็จเราก็มานวดตัวกันเพื่อเตรียมร่ายกายในการแข่งขัน  ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งก็บอกว่า "ทุกคนดูบนท้องฟ้าสิ"  ที่เรามองเห็นคือ พระจันทร์ทรงกรด ซึ่งผู้กองก็บอกว่า พระจันทร์อวยชัยให้พวกเราแล้ว  "เออให้มันจริงเถอะ" ผมคิด
               ตีห้าตรงถึงเวลาปล่อยตัว  เราก็เริ่มออกตัวกันตามที่ฝึกมา  ผู้กองก็ทำหน้าที่เป่านกหวีดให้สัญญานในการออกเดิน หรือว่าออกวิ่ง  ถึงเราจะฝึกมาเยอะแต่จากความหนักของสำภาระก็ส่งผลให้พวกเราเหนื่อยกันไปตาม ๆ กัน  ลิ้นก็เริ่มห้อย  คอก็เริ่มแห้ง  แรงก็เริ่มหมด  แต่ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้นมา  จังหวะของดนตรีเร่งเร้ายังกะอยู่ในเธค  ทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นสตรีสาว 4 นาง ยืนอยู่บนรถกระบะที่ถูกแต่งจนมีลำโพงตามท้ายรถ  สี่สาวนางนั้นเต้นตามจังหวะเสียงเพลงอย่าเมามัน  เริ่งร่าท่ามกลางเสียงดนตรี  ทหารนายหนึ่งร้องขึ้นมาว่า "โคโยตี้  โคโยตี้"  ทุกสายตาของทหารต่างจ้องจดไปที่เหล่าโคโยตี้นั้น  ทหารทุกนายจากที่หมดเรี่ยวแรงกัน  บัดนี้กลับพากันมีกำลังวังชาอย่างกับคนละคน  ต่างพากันวิ่งออกแถวเพื่อที่จะไปจับ ไปสัมผัส โตโยตี้ทั้งสี่  เมื่อผู้กองเห็นทหารเริ่มมีแรงฮึดกันมากขึ้นก็บอกให้รถกระบะคันนั้นเดินหน้า เพื่อให้ทหารวิ่งไล่ตาม  สุดยอด ! ทหารพากันวิ่งไล่รถกระบะอย่างกับเสือโหยที่กำลังวิ่งไล่ตระครุบกวางน้อย  ทหารนายสิบคนหนึ่งท่าทางจะไม่มีแรงเหลือทั้งการหายใจดูลักษณะลำบาก  ผมจึงอาสารับฝากปืนจากนายสิบคนนั้นไว้อีกหนึ่งกระบอก ซึ่งเป็นปืนทาโวร์ หนักประมาณเกือบสี่กิโล  เดินไปได้ซักพัก  อ้าว...หายไปไหน  สุดท้ายผมต้องได้จัดการถือปืนคนเดียวสองกระบอก  เวรกำตู   แต่ก็ยังดีที่มีน้องทหารคนหนึ่งซึ่งสนิทกับผมมาช่วยเปลี่ยนถือปืนเจ้ากรรมกระบอกนั้น  แต่เดินไปอีกไม่นานซึ่งตอนนั้นกำลังก็อยู่ตัว สามารถเดิน ไปได้เรื่อย ๆโดยไม่เหนื่อยมาก ก็เริ่มมีคนหลุดแถว  คือไม่มีแรง เราคนที่อยู่ด้านหน้าก็ต้องไปช่วยคนที่จะหลุดแถวนั้น  ผมจึงได้อาสาและวิ่งลงมาที่ปลายแถวเห็นทหารรุ่นพี่คนหนึ่ง  ร่างกายกำยำกว่าผมมาก  แต่สีหน้านี่ชัดเจนเลย  มันจะตายแล้ว  ผมจึงอาสาที่จะถือปืนของพี่แกให้  แต่กรรมการที่วิ่งอยู่ข้างๆ บอกให้ได้แค่เปลี่ยนปืนกัน แต่ดูปืนที่พี่แกถือสิ  แม่จ้าวมันคือปืนกล  มิน่า.....  หนักเกือบ 12 กิโลเลยนะนั่น  เอาว่ะ แบกก็แบก  จนในที่สุดเราก็ถึงเส้นชัย  เท้าทั้งสองมึนชาไปหมด หัวเข่าอ่อนเปลี้ย  ทหารหลายคนอ้วกแตกอ้วกแตนกันไป  ยังไม่ทันได้พักเราก็ต้องไปยิงปืนกันต่อ ได้รับซองกระสุนคนละ 2 ซองสำหรับยิงระยะ 200 เมตรและระยะ 100 เมตร ซึ่งเราก็สามารถยิงเข้าเป้าถึง 81 % เลยทีเดียว ระหว่างยิงระยะ 100 เมตร ทหารทั้งว่าผู้หมวด หรือ นายสิบ ต่างพากันตะคริวกินกับเป็นแถบ  หลังแข่งเสร็จก็เป็นเวลาประมาณเกือบ 10 โมงเช้า ผู้กองก็ประกาศให้ทหารทุกนายที่แข่งขันเดินเร่งรีบครั้งนี้ สามารถลากลับบ้านได้วันนี้เลย  โดยให้ลาคนละ 7 วัน
สร้างเสี่ยงเฮลั่นของเหล่าทหารหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมานาน  กลับมาถึงกองร้อยเราก็พากันเก็บเสื้อผ้า รับใบลากลับบ้านเลย  ถึงจะเหนื่อย.....แต่ก็ภาคภูมิใจ......ที่ได้ทำเพื่องหน่วยต้นสังกัด  สรุปการแข่งขันวันนั้นทางเราได้อับดับที่  2  จากการแข่งขันกัน 14 กองพัน  เราแพ้ที่ 1 จากการยิงปืนไป ไม่ถึง 1%  จากปีเมื่อกี้ที่เราได้ที่สุดท้าย....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น