วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

เดินเร่งรีบ...หนึ่งภาระกิจลูกผู้ชาย

            ภาระกิจเดินเร่งรีบ  เป็นอีกหนึ่งภาระกิจที่เราได้รับหลังจากได้รับการฝึกทหารใหม่จนเสร็จสิ้น  พร้อมทั้งแยกกันขึ้นกองร้อย  โดยผมได้รับมอบหมายให้เป็นส่วนหนึ่งในทีมเพื่อแข่งขันกันแต่ละกองพัน  โดยสำหรับกองพันผมประกอบด้วยทหารทั้ง ผู้กอง  ผู้หมวด  นายสิบ  และพลทหารรวมเกือบสองร้อยนาย โดยภาระกิจที่เราได้รับ คือ ต้องเดินเท้าเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตร พร้อมสัมภาระคนละ 10กิโลกรัมเกินได้แต่ห้ามขาด  พร้อมทั้งอาวุธคู่กาย  ซึ่งอาวุธคู่กายผมคือ ปืน M16A2 พร้อมติดเครื่องยิงลูกระเบิด M203 ซึ่งหนักรวมกันเกือบ 5 กิโล  หลังจากที่เราวิ่งถึงเส้นชัยแล้ว  ก็ต้องเข้ารับการทดสอบการยิงปืนโดยใช้อาวุธปืนคู่กายของตนเองทันที  โดยไม่มีเวลาให้พัก  การยิงปืนจะยิงโดยการวิ่งเข้าไประยะ 200 เมตร  แล้วจึงยิงปืนให้เข้าเป้า  หลังจากนั้นให้วิ่งไปในระยะ  100 เมตร ให้เข้าเป้า ก็เป็นอันเสร็จภารกิจ             
             ในทุกเช้าเวลา 05.30 เราต้องตื่นมาซ้อมเดินเร่งรีบ  โดยการวิ่งรอบกองพันวันละ 6 - 8 รอบ นายสิบนายหนึ่งบอกว่าไม่จำเป็นไม่ควรสวมกางเกงในเพราะว่ามันจะบาดต้นขา  ซึ่งผมก็ได้โทรศัพท์ขอให้แฟนส่งกางเกงเสตย์ พร้อมทั้งถุงเท้าคู่หนาๆ มาให้เพื่อป้องกันรองเท้ากัดจากการเดิน - วิ่ง เป็นระยะทางหลายกิโล การวิ่งรอบกองพันตอนเช้า 7 -8 รอบ มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากเพราะจะไม่มีการเดิน  ไม่มีการหลุดแถว  หากทหารคนไหนหลุดแถวก็จะถูกสั่งให้วิ่งขึ้นไปอยู่หัวแถวทันที  ผมเป็นคนหนึ่งที่มั่นใจในพละกำลังร่างกาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังใจของตนเอง ที่มั่นใจว่าไม่แพ้ใครแน่นอน  จากการที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าทหารใหม่ ทำให้ผมต้องได้รับการลงโทษมากกว่าลูกน้องคนอื่น  ยังผลให้ร่างกายผมได้รับการฝึกฝนมากกว่าคนอื่นเช่นกัน  เราทำการซ้อมเดินเร่งรีบอย่างนี้เกือบสองอาทิตย์  จนถึงวันที่เราซ้อมใหญ่โดยการวิ่งตามเส้นทางจริง
              เราเริ่มมาซ้อมใหญ่กันเวลาตีสี่กว่า ๆ หลังจากรายงานตัวเสร็จเราก็เริ่มกันเลย การเดินเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ พอผู้กองเป่านกหวีดหนึ่งครั้งเท่านั้นแหละ  เราก็เปลี่ยนฝีเท้าจากเดินมาเป็นวิ่งแทน  ยังไม่มันจะถึง 100 เมตร ขาก็เริ่มจะชาขึ้นมา แต่เมื่อสิ้นเสียงเป่านกหวีดของผู้กองอีกครั้ง พวกเราก็กลับมาเดิน  สรุปว่าวันซ้อมใหญ่นั้นเราทุกคนพากันกรอบหมด  กว่าจะถึง 15 กิโลเมตร  ปลอบใจตัวเองไม่รู้กี่ครั้ง  น้ำมีให้ดื่มเพียงคนละ 2 กระติกประจำตัวเท่านั้น  เพื่อๆ ทหารหลายคนที่ดื่มน้ำตนเองจนหมด ต้องมาขอดื่มน้ำจากกระติกเพื่อนแทน  หลังจากซ้อมใหญ่เสร็จพวกเราก็ได้รับการพัก 2 วัน  ดีอย่างตรงทางกองร้อยมีนโยบายให้พวกแข่งเดินเร่งรีบ ไม่ต้องขึ้นเวรใดๆ ทั้งนั้น  อีกทั้งยังห้ามเล่นกีฬาที่กระทบกระเทือนต่อข้อเท้ามาอย่างเช่น ฟุตบอล
               ถึงวันนี้  วันที่เราต้องแข่งแล้วสินะหลังจากที่ฝึกซ้อมมานาน  เราเริ่มเดินทางตั้งแต่ตีสี่  มาถึงสนามจุดปล่อยตัวก็ประมาณตตีสี่ครึ่ง  หลังจากเช็ครายชื่อเสร็จเราก็มานวดตัวกันเพื่อเตรียมร่ายกายในการแข่งขัน  ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งก็บอกว่า "ทุกคนดูบนท้องฟ้าสิ"  ที่เรามองเห็นคือ พระจันทร์ทรงกรด ซึ่งผู้กองก็บอกว่า พระจันทร์อวยชัยให้พวกเราแล้ว  "เออให้มันจริงเถอะ" ผมคิด
               ตีห้าตรงถึงเวลาปล่อยตัว  เราก็เริ่มออกตัวกันตามที่ฝึกมา  ผู้กองก็ทำหน้าที่เป่านกหวีดให้สัญญานในการออกเดิน หรือว่าออกวิ่ง  ถึงเราจะฝึกมาเยอะแต่จากความหนักของสำภาระก็ส่งผลให้พวกเราเหนื่อยกันไปตาม ๆ กัน  ลิ้นก็เริ่มห้อย  คอก็เริ่มแห้ง  แรงก็เริ่มหมด  แต่ทันใดนั้นเราก็ได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้นมา  จังหวะของดนตรีเร่งเร้ายังกะอยู่ในเธค  ทันใดนั้นสายตาผมก็เหลือบไปเห็นสตรีสาว 4 นาง ยืนอยู่บนรถกระบะที่ถูกแต่งจนมีลำโพงตามท้ายรถ  สี่สาวนางนั้นเต้นตามจังหวะเสียงเพลงอย่าเมามัน  เริ่งร่าท่ามกลางเสียงดนตรี  ทหารนายหนึ่งร้องขึ้นมาว่า "โคโยตี้  โคโยตี้"  ทุกสายตาของทหารต่างจ้องจดไปที่เหล่าโคโยตี้นั้น  ทหารทุกนายจากที่หมดเรี่ยวแรงกัน  บัดนี้กลับพากันมีกำลังวังชาอย่างกับคนละคน  ต่างพากันวิ่งออกแถวเพื่อที่จะไปจับ ไปสัมผัส โตโยตี้ทั้งสี่  เมื่อผู้กองเห็นทหารเริ่มมีแรงฮึดกันมากขึ้นก็บอกให้รถกระบะคันนั้นเดินหน้า เพื่อให้ทหารวิ่งไล่ตาม  สุดยอด ! ทหารพากันวิ่งไล่รถกระบะอย่างกับเสือโหยที่กำลังวิ่งไล่ตระครุบกวางน้อย  ทหารนายสิบคนหนึ่งท่าทางจะไม่มีแรงเหลือทั้งการหายใจดูลักษณะลำบาก  ผมจึงอาสารับฝากปืนจากนายสิบคนนั้นไว้อีกหนึ่งกระบอก ซึ่งเป็นปืนทาโวร์ หนักประมาณเกือบสี่กิโล  เดินไปได้ซักพัก  อ้าว...หายไปไหน  สุดท้ายผมต้องได้จัดการถือปืนคนเดียวสองกระบอก  เวรกำตู   แต่ก็ยังดีที่มีน้องทหารคนหนึ่งซึ่งสนิทกับผมมาช่วยเปลี่ยนถือปืนเจ้ากรรมกระบอกนั้น  แต่เดินไปอีกไม่นานซึ่งตอนนั้นกำลังก็อยู่ตัว สามารถเดิน ไปได้เรื่อย ๆโดยไม่เหนื่อยมาก ก็เริ่มมีคนหลุดแถว  คือไม่มีแรง เราคนที่อยู่ด้านหน้าก็ต้องไปช่วยคนที่จะหลุดแถวนั้น  ผมจึงได้อาสาและวิ่งลงมาที่ปลายแถวเห็นทหารรุ่นพี่คนหนึ่ง  ร่างกายกำยำกว่าผมมาก  แต่สีหน้านี่ชัดเจนเลย  มันจะตายแล้ว  ผมจึงอาสาที่จะถือปืนของพี่แกให้  แต่กรรมการที่วิ่งอยู่ข้างๆ บอกให้ได้แค่เปลี่ยนปืนกัน แต่ดูปืนที่พี่แกถือสิ  แม่จ้าวมันคือปืนกล  มิน่า.....  หนักเกือบ 12 กิโลเลยนะนั่น  เอาว่ะ แบกก็แบก  จนในที่สุดเราก็ถึงเส้นชัย  เท้าทั้งสองมึนชาไปหมด หัวเข่าอ่อนเปลี้ย  ทหารหลายคนอ้วกแตกอ้วกแตนกันไป  ยังไม่ทันได้พักเราก็ต้องไปยิงปืนกันต่อ ได้รับซองกระสุนคนละ 2 ซองสำหรับยิงระยะ 200 เมตรและระยะ 100 เมตร ซึ่งเราก็สามารถยิงเข้าเป้าถึง 81 % เลยทีเดียว ระหว่างยิงระยะ 100 เมตร ทหารทั้งว่าผู้หมวด หรือ นายสิบ ต่างพากันตะคริวกินกับเป็นแถบ  หลังแข่งเสร็จก็เป็นเวลาประมาณเกือบ 10 โมงเช้า ผู้กองก็ประกาศให้ทหารทุกนายที่แข่งขันเดินเร่งรีบครั้งนี้ สามารถลากลับบ้านได้วันนี้เลย  โดยให้ลาคนละ 7 วัน
สร้างเสี่ยงเฮลั่นของเหล่าทหารหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกันมานาน  กลับมาถึงกองร้อยเราก็พากันเก็บเสื้อผ้า รับใบลากลับบ้านเลย  ถึงจะเหนื่อย.....แต่ก็ภาคภูมิใจ......ที่ได้ทำเพื่องหน่วยต้นสังกัด  สรุปการแข่งขันวันนั้นทางเราได้อับดับที่  2  จากการแข่งขันกัน 14 กองพัน  เราแพ้ที่ 1 จากการยิงปืนไป ไม่ถึง 1%  จากปีเมื่อกี้ที่เราได้ที่สุดท้าย....

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

เพลง จดหมาย ทบ.

หยิบกระดาษสะอาดสีขาว  มองดูดางเลื่อนล้อยคลอยต่ำ
หยดน้ำหมึกบันทึกถ้อยคำ  คนใจดำฟังคำบรรยาย
เขียนจากชายที่ค่อยทหาร  จากมานานคิดถึงแทบตาย
ฝึกน่ะหรือเหงื่อไหลโทรมกาย  ลูกผู้ชายขอตายยอมพลี
เอ้าฝึก ฝึก ฝึก ฝึก ฝึก  ฝึกฝนให้คนแข็งแกร่ง
เราจะแกร่ง เราจะแกร่ง  เราจะแกร่ง  มีแรงต่อสูไพรี
น้อยใจนักคนรักเราซิ  เจ้าช่างมีน้ำใจแสนงาม
ยอดชีวี...นี่คือจดหมาย  เขียนจากชายที่กาญจ์บุรี
ส่งมาแล้ว...ส่งถึงคนดี   อยากจะถามมีแฟนแล้วบ่  อยากจะถามมีแฟนแล้วบ่
จำจากมานะกานดา  จากมาอุราพี่เจ็บ
ถึงจะเจ็บพี่ก็ต้องฝืนทน  คนจนไม่มีคนเป็นห่วง
ช้ำรักจากสาวกระทรวง  สาวกระทรวงศึกษาธิการ
ไอ้หนุ่มกระทรวงกลาโหม  เอวกลมเป็นพี่เป็นทางผ่าน
เจ็บนี้...เจ็บนี้อีกนาน  ไอ้หนุ่มทหารมารักกันกับสาวครู  ไอ้หนุ่มทหารมารักกันกับสาวครู
ความรัก....เมื่อครั้งน้องเรียน  วค.  น้องบอกให้รอ  รอก่อนน้องเรียนจบครู
ไอ้หนุ่มทหาร  คิดอยากแต่งงานกับสาวครู  วิมานวาดไว้สวยหรู
แต่แล้วโฉมตรูสาวครูมาหลอกลวง 
ถึงเจ็บพี่ก็ต้องทนเจ็บ  เจ็บชอกช้ำระกำทรวง
อดีตที่ขอเป็นแฟน  เจ็บแสนเมื่อรักโดนลวง
วันหนึ่งาสาวครูมาหลอกลวง  ไอ้หนุ่มกระทรวงกลาโหมขอลา
ไอ้หนุ่มกระทรวงกลาโหมขอลา....

เพลง...จากยอดดอย...

จากยอดดอยแดนไกลใครจะเห็น
จะลำเค็ญเพียงใดใจยังมั่น
จะปกป้องผองไทยชั่วนิรันทร์
ทุกคืนวันก็ยังห่วง หวงแผ่นดิน
คิดถึงยอดหฤทัยใจจะขาด
แต่ไม่อาจตัดสินใจทิ้งไปได้
ด้วยหน้าที่สัทธาทั้งใจกาย
คือความหมายเกินค่า...กว่าชีวิน
ส่งใจข้ามขอบฟ้ามาหาเสมอ
หวังเพียงเธอคิดถึงผู้อยู่ที่นี่
ขอให้รอวันรุ่งของพรุ่งนี้
ฟ้าคงมีพรชัยให้กับเรา....
ฟ้าคงมีพรชัยให้กับเรา

จบ
 

รวมมิตร...โหด..มันส์..ฮา เมื่อมาเป็นทหาร #โหด

                        มีวันหนึ่งที่ผู้ฝึกทหารใหม่  ซึ่งมียศร้อยตรี  ได้พาพวกเราทหารใหม่วิ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาสี่โมงเย็น วิ่งไปร้องเพลงไป เพื่อให้เท้าพร้อมกัน  พวกเราก็ถูกฝึกให้ร้องเพลงให้ได้ และร้องให้เสียงดัง พร้อมกัน จนทุกคนต่างเสียงแหบ  หรือแทบจะไม่มีเสียงเลย  หากใครยังคงเสียงสดใส อยู่รู้ได้เลยแหละว่ามันอู้    หลังจากที่เราพากันวิ่งได้ไม่นานความเหนื่อยก็พาให้พวกเราเริ่มวิ่งเท้าไม่พร้อมกัน  เสียงเริ่มที่จะไม่ดัง  เพราะยังมอีกหบายคนที่อู้ ไม่อยากร้องเพลงก็ไม่ร้อง  ผู้ฝึกก็เลยสั่งให้ทุกคนหมอบกับพื้น  ซึ่งตอนนั้นเป็นหน้าร้อน  แล้วที่กาญจนบุรีร้อนมากๆ เราทุกคนพากันหมอบอยู่บนพื้นถนนลาดยางที่ร้อนระอุ  มือเนี่ยแดงกันไปตามๆกัน  บางคนทั้งหมอบทั้งร้องซี๊ด เหตุเพราะถนนลาดยางนั้นร้อนมาก ๆ ผู้ฝึกก็สั่งให้เราหมอบ - ลุก อยู่อย่างนั้น จนเหนื่อยแทบหมดแรง  สุดท้ายก็มีเสียงทหารใหม่คนหนึ่งร้องออกมา "สัต...เอ้ย"  แล้วก็มีทหารผู้ช่วยครูนายหนึ่ง  ร้องออกมา "ใคร ใครพูดว่าสัต...." แล้วก็เดินไปรายงานผู้ฝึกทหารใหม่ สิ้นเสียงรายงาน ผู้ฝึกก็ใช้มือตบเข้าที่ทหารใหม่ที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างแรง พร้อมสั่งให้พวกเราทุกคนคุกเข่า  เอามือตั้งฉาก แล้วใช้เข่าทั้งสองข้างเดินแทนเท้า ขณะที่พื้นลาดยางทั้งร้อนอย่างกับกระทะ อีกทั้งยังมีก้อนเห็นก้อนเล็ก ๆ คอยปักหัวเข่า ซึ่งสร้างความเจ็บ ปวด และแสบให้พวกเราอย่างมาก  เสียงกัดฟันจากความพยายามที่จะอดทนให้ได้เริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ บางคนทนไม่ไหวต้องได้ร้องโอ้ยออกมา  บางคนแสบจนน้ำตาไหลก็มี  ส่วนผมไม่ต้องพูดถึงเจ็บ ปวด ร้อน เกินคำบรรยาย แต่สุดท้ายก็ไปจนถึงเส้นที่กำหนดจึงได้หยุด  ไม่ทันได้ลุกขึ้นก็มีเสียงคำสั่งให้ทุกคนม้วนหน้าบนถนนลาดยางที่ร้อน ๆ ไปยังจุดที่กำหนดซึ่งก็ประมาณ 100 เมตรได้ บางคนม้วนหน้ายังไม่ทันเป็นก็ได้ยินเสียงตีลังกาแล้วหลังฟาดไปกับพื้น เสียงดัง ตุบ ๆ อยู่หลายๆ คน ส่วนผมก็พอม้วนหน้าได้แบบไม่เป็นอันตรายต่อหัว เลยหมดห่วงเรื่องหัวจะแตก  แต่ที่น่าห่วงคือม้วนหน้าไปเป็นร้อยเมตร  เริ่มมองไม่เห็นถนนเพราะว่าตาลายมาก  สุดท้ายก็ถึงจุดที่กำหนดอย่างทุลักทุเร  จึงถูกสั่งให้ทุกคนลุกขึ้น  แล้วให้วิ่งไปแถวที่สนามฟุตบอลหน้ากองร้อย หรือจุดรวมพลนั่นเอง พอทุกคนมาถึงก็ถูกสั่งให้นั่งญี่ปุ่น ( นั่งคุกเข่า หลังเท้าแนบพื้น ) บนสนามฟุตบอลที่มีแต่หินลูกรัง  สุดแสนจะทรมาน กับการเจ็บปวด ก้อนหินบางเม็ดฝังเขาไปอยู่ในหัวเข่าก็มี  เราถูกสั่งให้นั่งอยู่อย่างนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง  ท่ามกลางเสียงระงมไปด้วยความเจ็บปวดของเหล่าทหารใหม่   จนถึงเวลา 5 โมงเย็นกว่า ๆ ที่พวกเราต้องไปกินข้าว  ซึ่งพวกเราโดนลงโทษให้กินข้าวด้วยมือนาน  1 อาทิตย์  และโทษอื่น ๆ อีก เช่น
  1. ให้กินข้าวด้วยมือ ห้ามใช้ช้อน
  2. ห้ามขึ้นเรือนนอนโดยใช้บันไดปกติ  ให้ขึ้นโดยบันไดลิง ทางด้านข้างของกองร้อย
  3. ห้ามอาบน้ำในห้องน้ำ  ให้อาบโดยวิธีกระโดดแช่ลงในอ่างดับเพลิง แล้วก็กระโดดขึ้นเท่านั้น
     นี่แหละคือบทลงโทษที่พวกเราได้รับนาน 1 อาทิตย์

เมื่อชีวิตลิขิต...ให้เล่นบททหารเกณฑ์#3

             สิ้นเสียงเบรกของรถ GMC ที่มาส่งเราที่หน่วยฝึกทหารใหม่  ก็ได้ยินเสียงตะโกนให้ทุกคนกระโดดลงจากรถและเขาไปยังอาคารที่มองคล้ายเหมือนห้องประชุม  ข้างในมีทหารเกณฑ์รุ่นพี่คอยควบคุมดูแลทหารใหม่อยู่  เราทุกคนต้องฝากทรัพย์สินทุกอย่างไว้กับเจ้าหน้าที่ทหารที่มีการควบคุมกำกับอย่างดี ป้องกันทรัพย์สินส่วนตัวหาย  ไม่เว้นแม้แต่เสื้อผ้าที่เรากำลังใส่อยู่ตอนนี้  ตอนนี้ทุกคนอยู่ในร่างเปลือยเปล่า พูดง่าย ๆ ว่าล่อนจ้อน  ตอนนี้ความคิดผุดขึ้นมาในหัวผมว่า "กูมาทำอะไรที่นี่เนี่ย  แล้วนี่มันความจริงหรือความฝัน"  เราทุกคนถูกตัดผมให้เป็นทรงเดียวกัน คือ "ทรงพระ" นั่นก็หมายถึงโดนโกนหัวโดยบัตตาเรี่ยนนั่นเอง  พอเสร็จเค้าก็แจกอุปกรณ์ทุกอย่าง เช่น ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แฟ็บ ถังน้ำ เสื้อผ้า ช้อนคนละคัน  ตอนนี้ผมมองไปดูที่นาฬิกาข้างผนังซึ่งก็ชี้บอกว่าตอนนี้หน่ะ เวลาปาไปตีสองแล้ว  หลังจากนั้นเค้าก็ส่งเราขึ้นไปบนเรือนนอน  ซึ่งอยู่บนชั้นสองของกองร้อย  เป็นอาคารสองชั้นเหมือนอาคารเรียน  ทุกคนพอถึงเตียงนอนก็ได้ยินเสียงนายสิบนายหนึ่งพูดขึ้นว่า "ของไม่ต้องเก็บ วางไว้ใต้เตียง แล้วก็นอนซะ คอยฟังเสียงนกหวีดปลุกพรุ่งนี้ตอนตีห้าครึ่ง เอ้า...ปิดไฟนอน"  เราทุกคนต่างเหนื่อยจากการเดินทาง รวมถึงบางคนก็เมา  ตัวผมก็เพลียไม่น้อยเหมือนกัน "ยังไงก็ต้องนอนก่อน ว่ะ พรุ่งนี้เป็นไงเป็นกัน"  ผมคิด  แต่เสียงของทหารคนที่ไปรับเราที่หอประชุมยังคงก้องอยู่ในหัวผม ซึ่งทำให้หัวใจผมเต้นราวรัวกลอง "ยินดีต้อนรับ...เข้าสู่นรก"  เออ...แล้วเจอกัน  ผมคิดในใจ แล้วก็หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้......

เมื่อชีวิตลิขิต...ให้เล่นบททหารเกณฑ์#2

                วันนี้แล้วสินะที่ผมต้องออกเดินทาง....ไปตามเส้นทางลูกผู้ชาย ไม่มีพ่อ แม่ หรือญาติคนไหนคอยดูแล เหมือนที่ผ่านมา  หลายๆคนคิดว่า  อย่างผมจะฝึกทหารไหวเร้อ...ไม่อยากบอก...ผมก็ชายคนนึง  วันนี้ทั้งตา ทั้งยาย ทั้งพ่อ แม่พี่น้องตามไปส่งผมขึ้นรถ แม่ได้ให้โทรศัพท์ติดตัวผมไว้เครื่องหนึ่งไว้สำหรับคุยกันระหว่างนั่งอยู่บนรถ ซึ่งเป็นโทรศัพท์รุ่นเก่าชนิดหายก็ไม่เสียดาย  ระหว่างทางจากอุดรธานีไปจังหวัดกาญจนบุรี รถเริ่มออกประมาณเที่ยง  ตลอดเส้นทางเหล่าว่าทีทหารเกณฑ์ต่างพากันซื้อเหล้าซื้อเบียร์ขึ้นมากินกันบนรถมากมาย  ซึ่งทหารที่อยู่บนรถก็ไม่ได้ว่าอะไร  เพียงแต่พูดว่า "รีบกินซะ  ก่อนที่จะไม่ได้กิน  แต่ขออย่างเดียวห้ามโยนขวดลงถนนเท่านั้น"  ผมไม่ดื่ม แม้จะมีหลายๆคนชวนผมให้ดื่มด้วย  เพราะยากใช้เวลานั่งคิดเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิต อีกทั้งต้องการคุยโทรศัพท์กับแฟน และพ่อแม่ที่โทรมาถามข่าวการเดินทางอย่างไม่ขาดสาย  และแล้วก็มาถึงเมืองกาญจนบุรี ผมดูนาฬิกาที่โทรศัพท์  อีกสิบห้านาทีเที่ยงคืน  โห....ใช้เวลาเดินทางสิบสองชั่วโมงเลยเหรอ  เกิดมาเพิ่งเคยมาไกลบ้านขนาดนี้ แล้วผมก็กดโทรศัพท์หาแฟน  ระหว่างที่รถกำลังเดินทางเข้าสู่ค่ายทหารในจังหวัดกาญจนบุรี  ผมรู้ว่าการโทรครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนที่จะเข้าค่ายทหาร เพราะเค้าจะยึดทรัพย์สินทุกอย่างรวมทั้งโทรศัพท์ไว้  อีกอย่างแบตโทรศัพท์ก็กำลังจะหมดด้วยหลังจากที่โทรคุยกันทั้งวัน 
                    หลังลงจากรถบัสที่นำส่งเราจากบ้านเกิดมาถึงถิ่นยุทธหัตถี กาญจนบุรีนี้ เราทุกคนต้องมารวมแถวกันแยกรายอำเภอไว้  ผมนั่งอยู่แถวที่มาจากอำเภอเมืองอุดรธานี  ตอนนี้หละเหล่าแม่ค้าพ่อค้ามากมายต่างเข้ามาขายของ ทั้งเหล้า เบียร์ บุหรี่ ข้าวกล่อง พร้อมทั้งบอกกับเหล่าว่าที่ทหารเกณฑ์ว่า "รีบกินรีบสูบซะ  เพราะหลังจากตรงนี้แล้วจะไม่ได้กินได้สูบอีกเลย" ซึ่งเราก็สามารถซื้อได้ กินได้เต็มที่ จนหายอยากกันไปเลย  ขณะเดียวกันกับมีทหารนายหนึ่งยืนถือไมโครโฟนประกาศเรียกชื่อทหารใหม่ เพื่อเข้าแถวไปยังห้องประชุม  ภายในห้องประชุมมีทหารมากมายคอยเรียกชื่อทหารใหม่และคอยแบ่งกันไปตามแต่ละกองพัน  เพื่อดำเนินการฝึกทหารใหม่  ผมได้อยู่กองพันทหารราบ  น้องคนหนึ่งที่นั่งข้างหลังผมซึ่งอยู่ทหารราบและอยู่กองพันเดียวกับผมพูดกับผมว่า "ทหารราบ ! ตายหล่ะ  นี่หละเป็นหน่วยรบแรกของประเทศไทย  ที่ไหนมีรบพวกเราต้องไปก่อน  แล้วอีกอย่างนะ ก็พวกทหารราบเนี่ยแหละที่ไปสลายม็อบกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพ ฯ ตอนนี้"  "เอาเข้าไปชีวิตตู  เริ่มจะได้รสชาติชีวิตลูกผู้ชายเข้ามาแล้ว"  ผมคิดในใจ  หลังจากนั้นก็มีรถ GMC เข้ามารับพวกเราแยกไปหน่วยฝึกทหารใหม่ของแต่ละกองพัน  ระหว่างนั่งรถไปก็มีทหารนายหนึ่งซึ่งมารับพวกเราตะโกนก้องในความมืดขึ้นมาว่า  "ยินดีต้อนรับทหารใหม่  เข้าสู่นรก"  สิ้นเสียงของทหารคนนั้นผมก็ติดว่า  เราคงต้องเตรียมตัวให้พร้อมซะแล้ว  สำหรับอะไรหลายอย่างที่ผมไม่เคยพบและเจอ  "เปิดฉากแล้วสินะ  บทบาทหนึ่งในชีวิต  กับบททหารเกณฑ์ ที่ต้องเล่นด้วยชีวิตจริง เหนื่อยจริง เจ็บจริง.....มาเถอะ..เราพร้อมรับแล้ว"

เมื่อชีวิตลิขิตให้เล่นบท...ทหารเกณฑ์ #1

              ผมเป็นชายไทยคนนึงที่ต้องเข้ารับการคัดเลือก  เพื่อเข้ารับราชการทหาร หลังจากที่ใช้สิทธิ์ผ่อนผันมาแล้วหลายปี  ปีนี้ก็อายุ 26 แล้ว ตอนไปรายงานตัวเตรียมเข้ารับการคัดเลือก เจ้าหน้าที่ทหารประจำหน่วยถามว่า "สามารถผันผันได้อีกปีนะ  จะผ่อนผันต่อไหม?"   "ไม่หรอกครับจับฉลากปีนี้เลยดีกว่า เพราะว่าเผื่อติดทหารมา  จะได้มีแรงฝึกอยู่บ้าง  อายเด็กมัน"ผมตอบเจ้าหน้าที่ทหารออกไปแบบติดตลกนิดหน่อย  พี่ทหารอีกคนนึงกล่าวขึ้นมาว่า "หุ่นอย่างนี้แหละ ทหารเรือ"  แม่จ้าว....ไม่อยากบอกเลยว่าผมว่ายน้ำไม่เป็นเลย  หากติดทหารทั้งที ก็อย่าให้เป็นทหารเรือเลยสาธุ ผมคิดในใจ  หลังจากจัดการเรื่องเอกสารทุกอย่างครบถ้วนทุกขั้นตอน  ก็ถึงเวลาที่ต้องจับใบดำใบแดงกันแล้วคราวนี้  ความคิด ณ ตอนนั้นคิดว่า  เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้  ใจหนึ่งก็อยากลองชีวิตทหารดูบ้าง เพราะว่าผมถูกเลี้ยงมาอย่างสบาย ๆ แม้ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยอะไร  แต่พ่อแม่ก็ไม่ค่อยได้ให้ทำงานหนักซักเท่าไร  ก็เลยอยากลองชีวิตลูกผู้ชายจริงๆ บ้างซักครั้ง  อีกทั้งในใจผมส่วนหนึ่งรู้สึกได้ถึงความอยากเป็นทหาร ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
            ผมได้อันดับคิวการจับฉลากอันดับท้าย ๆ วันนี้มีเพียงแฟนผมคนเดียวที่ไปลุ้นช่วย  เพราะว่าผมไม่ได้บอกเพื่อนฝูง  ส่วนพ่อแม่ก็มีกิจการที่ต้องดูแล เมื่อทหารประจำหน่วยเรียกชื่อผมเข้าไปจับสลาก  ตอนนี้นั้นในใจว่างไม่ได้คิดว่าอยากได้ดำ หรือว่าแดง คิดแต่เพียงชิวิตเราได้ถูกลิขิตเส้นหลักของชีวิตไว้แล้ว  หลังจากหยิบสลากมาหนึ่งใบ  ไม่ต้องประกาศก็เห็นได้เพราะว่า กระดาษสี่เหลี่ยมสีขาวเล็ก ๆ ซึ่งถูกเขียนด้วยหมึกสีแดง เห็นสะท้อนจากด้านหลังได้อย่างชัดเจน  พี่ทหารคนที่คอยยืนคู่คนที่มาจับสลาก เผื่อประคองเวลาเราได้ยินเสียงประกาศแล้วจะขาอ่อนเป็นลมลงไป  พี่คนนี้พูดข้าง ๆ หูผมว่า "มึงเห็นอะไรแดงๆ ไหมหน่ะ"  ผมได้แต่ยิ้มตรงมุมปากแทนคำตอบของผม  พร้อมกันนั้นก็ชูกำปั้นขึ้นฟ้า  อย่างกับผู้ชนะ  ขณะที่ผู้อ่านสลากประกาศเสียงดังก้องหอประชุมว่า " ทบ.๑ กาญจนบุรี"  เสียงเฮดังลั่นไปทั่วทั้งหอประชุม อึกกระทึกด้วยเสียงกลองที่เหล่ากองเชียร์เอาไปตีสร้างจังหวะ  สำหรับผมตอนนี้ทุกอย่างกลับเงียบไปหมด  สายตาผมมองไปที่แฟนซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก พร้อมกับนึกถึงเสียงกล่าวสวัสดีตอนเช้าของแฟนผม ที่ใช้พูดกับผมทุกครั้งหลังจากตื่นนอนมา "สวัสดี ทบ.2"  เอาเข้าแล้วหลังจากที่ให้พรผมเกือบสองอาทิตย์เต็ม ๆ วันนี้พรที่แฟนให้กลับสมดังปากเจ้าแล้วไง ต่างกันที่ผมติดผลัด 1 ไม่ใช่ผลัด 2  ซึ่งหมายความว่าผมต้องเตรียมตัวเข้ารับราชการทหารในวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 นี้ ซึ่งเหลืออีกแค่ 20 วันข้างหน้านี่เอง